วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

..เมื่อความรัก....เรียกหา


.... เมื่อความรัก....เรียกหา
ผ่านผืนฟ้า ดาราราย...ณ.ปลายฝัน
ผ่านม่านเมฆ.หมอกเย้า..หยอกเงาจันทร์
ผ่านคราวลม..เหมันต์..รำพันครวญ

จงก้าวตาม ความรัก ที่ทักถาม
ถึงเพลิงลาม แรงรับ อย่ากลับหวน
นำ้หลากเชี่ยว เกลียวคลื่นสาด..อาจเซซวน
จงว่ายทวน กระแสกล้า...แม้ล้าโรย

ด้วยรัก...คือทั้งหมด
เอิบอิ่มอวล..ถ้วนรส-และอดโหย
พายุเกรี้ยว-กับสายลม..ละมุนโชย
ผกาโปรย-หรือปลายหนาม..อันวามวาว

หากหนทาง ร้างร้าว ยังยาวเหยียด
ล้วนสูงเสียด ลึกล้น ปนเหน็บหนาว
เพียงสัมผัส-รักผ่าน...สายธารดาว
เธอจะไม่..ก้าวเดิน-โดยเดียวดาย

รักจะพา-ข้ามผ่าน...สายธารดาว
เธอไม่ได้..ก้าวเดิน-เพียงเดียวดาย
 hap.
+++++++++++++++++++++++++++
.
.........................................
ความรักเรียกหาไม่ห่างหาย
แต่กลัวหัวใจชายให้ขื่นขม
เรื่องราวของความรักไม่อาจจม
ใช่เหมือนกับลมที่พัดพา

ยามโดดเดี่ยวเดียวดายเหมือนไข้กลับ
ยากจะหลับตาลงคงห่วงหา
หลับเมื่อตื่นมีน้ำปลายหางตา
ไหลรินมาเปียกหมอนจะอ้อนใคร.
...............................
......

เมื่อดวงใจ ปรารถนา…..
สิ่งนำพา ค่าซึ้ง รำพึงหมาย
คือเชื่อมั่น ต่อกัน นั้นมิคลาย
จนถึงปลาย ของกาล ม่านเวลา

หมั่นดูแล ดวงใจ ที่หมายคู่
อย่าให้ผู้ ใดแทรก แยกคบหา
แม้นห่างไกล ใจเรียง เคียงทุกครา
ระยะทาง พรากพา ใช่ราโรย

เมื่อดวงใจ ปรารถนา…..
รักเหมือนยา เพิ่มพลัง ครั้งล้าโหย
ให้แกร่งกล้า ท้าแสง ที่แห้งโปรย
ดังลมโชย พัดเย็น เป็นแรงใจ

หากแม้นเธอ เสมอมั่น… ปรารถนา
หากแม้นเธอ ศรัทธา อย่าหวั่นไหว
หากแม้นเธอ รักแท้ มิแปรไป
เชื่อเถอะทั้งหทัย ..... ฉันให้เธอ…..
*************
หากแม้นเธอ รักแท้ มิแปรไป
เชื่อเถอะทั้ง...หทัย ฉันให้เธอ…..

“สุนันยา”.....

................................................................................................

. คำพูดที่ปลิดชีพได้ วาทะท่าน ซืงหวินต้าซือ



.....คำพูดที่ไม่ไว้หน้า...
ไว้เกียรติ ไว้ศักดิ์ศรี
ประดุจมีดที่ปลิดชีพได้
ทำลายซึ่งอนาคตที่สดใสรุ่งโรจน์
อีกทั้งชีวิตอันงดงามแห่งวัยรุ่น
ไปอย่างไม่เหลือเศษ.....

...อักษรคำพูดสามารถพัดเป็นลม
อันอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิ
แต่ก็สามารถตกเป็นหิมะ
ที่ทวีคูณความหนาวเหน็บในเหมันต์...

การเปิดโปงความลับคนอื่น
การปลุกระดมสร้างความแตกแยก
โดยการป้อนความคิดที่เป็นอริให้กับมวลชน
คำพูดคำหนึ่งสามารถสร้างชาติได้
คำพูดคำหนึ่งก็สามารถ
ทำให้ชื่อเสียงศักดิ์ศรีของคน
เสื่อมเสียและพังทลาย....

คนที่ไม่มีศีลธรรมในใจนั้น
ไม่ต่างไปจากซากศพที่เดินได้...
คน....เสมือนเกาะที่จมอยู่ในทะเลขยะ
...แห่งกิเลสและความโลภ.....

...อาตมาเคยกล่าวไว้ว่า...
 ?...ถ้าหากปลายปากกาของสื่อมวลชนมีศีลธรรม
ก็สามารถฉุดช่วยไต้หวันได้ในปัจจุบัน
...และถ้าหากปากของผู้คนมีศีลธรรม
ไม่กล่าวคำพูดที่ขัดต่อสามัญสำนึก
ก็สามารถฉุดช่วยตัวเองได้?.....

คำพูดคำวิจารณ์หรือบทความ
ที่ไม่ตรงกับความจริงขัดต่อศีลธรรม
ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อ
หรือเป้าหมายโจมตีเสียหาย เสียเปรียบ...
เสียศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำทำลาย
อีกทั้งยังก่อให้เกิดกระแส
แห่งความมืดมนขึ้นในสังคม
ที่จะทำให้ผู้คนท้อแท้และสูญเสียกำลังใจ
ที่จะเป็นคนดีต่อไปในสังคม...

การแถลงข้อมูลที่บิดเบือนความจริง.....
ทำให้สังคมที่เดิมผู้คนห่างเหินกันอยู่แล้ว
ยิ่งทวีความแตกแยกยิ่งขึ้น
และทำให้โลกที่เต็มไปด้วยความยากเย็นใบนี้
...ยิ่งหนาวเหน็บขึ้นเป็นทวีคูณ....


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ที่มา  :  รอยตะวัน

. สังคมนักปราชญ์ ยุคนี้

..
ในช่วงนี้มีคนแสดงตนออกมาเป็นนักปราชญ์ในสาขาต่างๆ กันมาก โดยสำคัญตนว่าเป็นผู้ชำนาญ ผู้รู้ถ่องแท้ในสาขาต่างๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและบริหารสังคม การเมือง  
     
        มีปราชญ์ตั้งแต่ระดับครูสอนเด็กอนุบาล จนถึงศาสตราจารย์สอนในมหาวิทยาลับ
       
        มีตั้งแต่เรียนไม่จบ ป.4 จนจบปริญญาเอก
       
        ต่างก็ตั้งตัวเป็นปราชญ์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิ สิน ด่า บุคคลอื่นที่ตนไม่ได้เห็นด้วยในรูปแบบต่างๆ ที่ส่อความรุนแรง ก้าวร้าว และหยาบคายมากขึ้น
       
        คนที่คิดว่าตัวเองเป็นปราชญ์ มักสำคัญตัวเองว่า รู้ เก่ง และดีมากกว่าคนอื่น
       
        ทำให้มีความเป็นตัวของตัวเองสูง อัตตาสูง อีโก้จัด ใครตำหนิหรือแตะต้องไม่ได้
       
        ยิ่งมีสื่อมวลชนให้ความสนใจ ขนานนาม หรือเสนอข่าวเข้าด้วย ยิ่งภูมิใจ เหลิง และเบ่งตัวตนจนหลามเหมือนอึ่งอ่าง ทำตัวเหมือนเป็นผู้รู้ -ถูกต้อง- และดีครบทุกอย่าง
       
        บางคนพยายามสร้างอัตลักษณ์ประจำตัวให้เด่น หรือง่ายแก่การจดจำ ทั้งท่าเดิน ท่านั่ง การแต่งกาย ภาษาที่ใช้พูดแสดงความคิดเห็น รวมทั้งอุปกรณ์เสริมอัตลักษณ์อื่นๆ หรือการเสนอประวัติส่วนตัวที่แปลกพิสดาร เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ
       
        เรียกง่ายๆ ว่าต่างสร้าง "BRANDING" กันเต็มที่ ให้เตะตาผู้คน
       
        บุคคลเหล่านี้มักสำคัญตัวเองผิด คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เขาเก่งกว่า ดีกว่า
       
        การยกตัวให้สูงกว่าคนอื่น โดยการด่าว่า ประณาม ประจาน หยาบคาย เถื่อน ใส่ความ และจับผิดคนอื่น หรือแม้แต่ทำสิ่งที่ผิดกฎหมายเสียเองนั้น เป็นการแสดงความมีตัวตนเทียม(Pseudo Ego) ออกมา เพราะคนที่ว่าคนอื่นนั้น ก็ไม่ได้เป็นคนดีหรือถูกต้องอย่างไรเลย เป็นแต่ปากเก่ง แสดงความก้าวร้าว จับผิด ใส่ความ และหยาบคายได้มากกว่าคนอื่นเขา
       
        เหมือนกำลังทำตัวเป็นอันธพาลเสียเอง (Antisocial) หรือทำตัวเป็นผู้ก้าวร้าวในสังคม(Aggressor)เพื่อให้คนอื่นยอมรับ และทำให้คู่กรณีสู้ไม่ทัน
       
        ทำให้คนดู ผู้คนทั่วไป หรือพลังเงียบเกิดความเกรงหรือกลัว ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเพราะกลัวจะโดนผลกระทบจากความก้าวร้าวเหล่านั้น
       
        สิ่งที่ผู้ที่คิดว่าเป็นปราชญ์เหล่านี้กลัวมากๆ ก็คือ   
    
        - การเสียหน้า
       
        - การเห็นคนอื่นได้ดีกว่า
       
        ปราชญ์ทางโลกส่วนมากจึงมีความอิจฉาริษยาสูงมาก ทนไม่ได้ถ้ามีใครว่าคนอื่นเก่งกว่า ดีกว่า และทนไม่ได้ถ้าใครว่าเขาไม่ดี ไม่เก่ง เพราะเขามีความหลงผิด หลงรักตัวเอง สำคัญตัวเองผิดตลอดมา
       
        เขาจะเกิดความเจ็บปวดจากการหลงรักตัวเอง(Narcissistic Mortification) มาก
       
        จึงชอบรับแต่สิ่งที่เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข รวมทั้งเงินทองที่มีคนมาให้ บริจาค หรือตอบแทนการกระทำของเขา
       
        ยามใดที่เขาได้รับสิ่งที่ไม่ดีตามโลกธรรม 8 เขาจะทนไม่ได้ เช่น การเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และความทุกข์
       
        ลักษณะเด่นของปราชญ์ทางโลกยุคนี้ส่วนใหญ่ คือ   
    
        1.ไม่ยอมรับว่าตัวเองทำความผิด แม้แต่สิ่งที่ทำนั้นจะผิดกฎหมายชัดๆ แต่มักจะผลักความผิดไปให้คนอื่น
       
        2. ชอบหาจุดบกพร่องคนอื่น คิดว่าตัวเองดี คนอื่นไม่ดี
       
        3. ขาดหิริโอตัปปะ ไม่ละอายแก่ใจ ไม่เกรงกลัวบาป
       
        4. อิจฉาริษยา เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีกว่า
       
        5. ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น เพราะคิดว่าตัวเองดีกว่าเขา
       
        ทำให้เกิดภาวะอีโก้จัด อัตตาสูง มีความหลงผิด สำคัญตัวเองผิด คิดว่าตัวเองดีกว่า วิเศษกว่าคนอื่นเขาตลอดไป
       
        การพัฒนาจิตให้สูงขึ้น เพื่อลดความมีอัตตาก็เป็นไปได้ยาก เพราะมักเอาความเป็นตัวตน หรือ "อัตตา" เข้าไปคุม "จิต" เสียแล้ว จึงไม่เข้าใจและไม่เห็นใจเพื่อนมนุษย์ที่มีอวิชชา มีความบกพร่องกันทุกคน น่าจะให้ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และหาทางลงโทษคนที่ "ทำความผิด" ไปตามกฎหมาย ด้วยความสำรวม ระวัง มีสติและปัญญาทางสังคมก็จะน่าอยู่มากขึ้น
       
        ไม่ร้อนและเดือดร้อนเหมือนสังคมทุกวันนี้ ที่แลดูเหมือนมีปราชญ์เต็มเมือง แต่ถนัดแต่การโยนคบเพลิงเข้าหากันเพื่อเผาบ้านเผาเมือง เผาคนที่คิดไม่เหมือนตน จนสังคมร้อนระอุไปทั่ว....
..................................++++++++++++++++++++++++................................................

.กำลังใจ

......................................................................... อุปสรรคแค่ไหน ก็ไม่หวั่น
คืนและวันจะโหดร้าย สักเพียงไหน
ร้อยและพัน ปัญหาจะฝ่าไป
เพียงมีเธอ ยิ้มให้ ที่ปลายทาง

ขอดาวที่เธอพิง
เอาไว้อิงอุ่นไอ
ขอฝันที่เธอใฝ่
เอาไว้เคียงข้างฝัน
ขอรักที่เธอกอด
เอาไว้เกี่ยวเมื่อไกลกัน
ขอใจที่เธอหวั่น
เอาให้ฉันรักษาใจ..**
.
............................................................ บทพิสูจน์ความแกร่ง แห่งเพชรแท้
ความแน่วแน่ที่จะไป...ให้ถึงฝัน
จะย่อท้อหวั่นไหว ทำไมกัน
หวังและวันแห่งเส้นชัย...ไม่ไกลเกิน

ลมหายใจมีไว้ให้ความหวัง
สร้างพลังดวงจิตอย่าคิดถอย
อย่าอยู่อย่างชีวิตที่เลื่อนลอย
โหยละห้อยเสียกาลและเวลา
อุปสรรคเข้าเผชิญจงเดินสู้
ยอมรับรู้ด้วยใจที่อาจหาญ
ตรึงและตรองแก้ไขอย่านิ่งนาน
รีบประสานเข้มแข็งด้วยแรงใจ.....
*********************************
**************************************

ไม่รู้จะเอาอะไรมาฝาก
ที่มีค่ามากกว่า..รักได้
นอกจากกำลังใจ
กับความห่วงใยไม่จืดจาง

ทางข้างหน้าลางเลือนเหมือนว่างเปล่า
แดดจะเผาผิวผ่อง เธอหมองไหม้
ที่ตรงนั้นมีหุบเหว มีเปลวไฟ 
ถ้าอ่อนแอจะฝ่าไป อย่างไรกัน

วันทีเหนื่อยหน่ายอ่อนล้า
ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครคนไหน
ลองนึกย้อนถึงความอาทรห่วงใย
กับความสนุกสดใสที่ผ่านมา

ขอชีวิตงดงามตามที่ฝัน
ขอทุกวันเป็นวันอันสดใส
ขอทุกก้าวคือก้าวที่มั่นใจ
ขอวันใหม่ก้าวไกลไปกว่าเดิม.
*******************

ถ้าล้มจงลุกอย่าทุกท้อ
จงสานต่อความฝันอันยิ่งใหญ่
แม้วันนี้ไม่มีสิทธ์พิชิตชัย
ก็ยังมีวันใหม่ให้ท้าทาย

อนาคตยังอีกไกล
ฝันไว้อย่างไรขอให้ไปให้ถึง
ในยามท้อยังมีเราอีกคนหนึ่ง
เราคนนี้ซึ่งคอยให้กำลังใจ
แต่ละคนต่างก็มีฝัน
จะต่างกันก็ตรงที่จุดหมาย
สิ่งที่ฝันใช่ว่าจะไปถึงได้ง่ายดาย
ยังต้องการกำลังใจจากหลายคน

จากบ้านนอก คอกนา มาเมืองหลวง
เด็กท้องทุ่ง หน้าใสก่วงมีความหวัง
สู้ชีวิต ไปพลาง ๆ ตามลำพัง
พรุ่งนี้มั๊ง ตัวข้า...จะคว้าดาว
...................................


.. เหนื่อยบ้างไหมที่เดินมาถึงวันนี้
อาจอ่อนล้าเบื่อบ้างเป็นบางที
อย่าท้อเลยคนดีขอให้ทน
อนาคตสดใสในภายหน้า
กำลังมาตามเวลา อย่าสับสน
แม้อาจเคยผิดหวังกับบางคน
จะผ่านพ้นไปได้ในสักวัน
อนาคตเป็นอย่างไร ใครจะรู้
แต่ให้สู้เพื่อไปสู่สิ่งที่ฝัน
แม้เวลาอาจพาใจให้ลืมกัน
สำหรับฉันไม่มีวันจะเปลี่ยนไป
หากเธอหาแห่งใดเป็นที่พึ่ง
ยามเมื่อถึงจุดหนึ่งซึ่งหวั่นไหว
ยังมีฉันคนนี้นะคนไกล
คนที่เป็นคนใกล้…ทีไกลเธอ

ถึงเวลาแล้วคนดี
ที่ต่างคนต่างมีทางต้องไกล
อย่าเสียดายเวลารักษาจิตใจ
ให้เข้มแข็งกับสิ่งใหม่ที่ต้องเผชิญ
เมื่อเราสอบก็ต้องอ่านหนังสือ
เพราะมันคือหนทางที่สดใส
ยิ่งอ่านมากเข้าใจมากคงไม่ไกล
ที่จะได้เกรดที่ฝันใฝ่มาครอบครอง..
.............................
............
กับทุกบททุกตอนที่อ่อนล้า
ก็ต้องฟันฝ่าอย่างเต็มที่
มีเหงาบ้างท้อบ้างในบางที
แต่กำลังใจที่ดีเพราะมีเธอ

หากว่าเธอท้อแท้
หรืออ่อนแอในวันไหน
ฉันคนนี้จะขอเป็นกำลังใจ
ให้เธอตลอดไปนานเท่านาน

ด้วยสองมือสองเท้าที่ก้าวมั่น
จะสร้างฝันด้วยแรงอันแข็งขืน
จะคว้าจันทร์งาม ยามค่ำคืน
จะหยัดยืนปีนไปให้ถึงดาว

ไม่มีสิ่งใดจะมอบให้
นอกจาก....ความจริงใจที่เต็มปรี่
เริ่มต้นผูกพันกันวันนี้
เพื่อมิตรไมตรีที่ดี..ตลอดไป
เราต่างก็...มีไฟฝัน
พร้อมจะสร้างสรรค์..เพื่อวันใหม่
****************************************************************************
********เป็นกำลังใจ******ดีๆให้นะก๊าบ*****

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555


ข้อคิด คำคม


…ผู้นำที่ฉลาดรู้ว่า   การยอมรับจะเอาชนะการต่อต้าน..
ความสุภาพอ่อนน้อม จะละลายการตั้งรับที่แข็งท่อ…."

………..นักปฏิบัติธรรมที่ไม่ทวนย้ำอธิฐาน
เหมือนทหารในสมรภูมิศึกไม่ซ้อมรบ
รอแต่พบแพ้พ่าย   และตายอย่างเสียศักดิ์ศีร…………
" สันโดษ "  คือ ความยินดี พอใจในของที่ตนมี
ยิ่งยากยิ่งเข้าใจ
มีน้ำแข็งมากเท่าใด…………..ก็มีน้ำมากเท่านั้น
ยิ่งยากลำบากเท่าใด…………ก็ยิ่งเข้าใจชีวิตมากเท่านั้น…!!!!!
หวังผลมากย่อมยากสำเร็จ
……คนที่ร้อนรนหวังผลของการกระทำมาก
ก็จะยิ่งประสบผลสำเร็จยาก……
………..การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการทำงานอื่น ๆ โดยทั่วไป..
เวลาใดที่ใจเราตก   เราก็ต้อง " ยก " ใจของเราขึ้นมาบ้าง 
และเวลาใดที่ใจเราฟุ้งซ่านมากเกินไป   เราก็ต้องรู้จักข่ม
มันลงไปเสียบ้าง….ทั้งนี้ต้องด้วย " ไหวพริบ " เท่านั้น…!!!!!!
"  อยู่คนเดียว                ให้ระวังความคิด
…อยู่กับมิตร                 ให้ระวังวาจา   "

พุทธดำรัส
" อันใดเดือดร้อนเขาสบายเราอย่าทำ
  อันใดเดือดร้อนเราสบายเขาอย่าทำ
  อันใดเดือดร้อนเขาเดือดร้อนเราก็อย่าทำ
   อันใดไม่เดือดร้อนเขา    ไม่เดือดร้อนเราจงพูด
จงคิด…….และกระทำเถิด……"
ดับทุกข์ด้วย    3    ไม่
…….ไม่ฝืนธรรมชาติ
…….ไม่ลุอำนาจความโกรธ
…….ไม่โลดแล่นไปตามความอยาก
"  ชั่วชีวิตคนเรา  พบคนมากหน้าหลายตา….แต่อาจมีเพียงหนึ่ง 
หรือสองคนที่จะประทับไว้ในใจเราตลอดเวลา…."
……..ช้าเสียการ            นานเสียกิจ………..
…….ต้องมีความรู้ในสิ่งที่เขารู้ และสิ่งที่เขาไม่รู้……….
"   รอยโค…………รอยเกวียน…………..วงเวียนแห่งกรรม
ดีชั่ว………..ตัวเราทำ…………
……….เป็นกฎแห่งกรรมของปุถุชน..   "
ลูกหมาไม่มีโอกาสตอบแทนคุณพ่อแม่
แต่ลูกหมาไม่เคยทำให้พ่อแม่น้ำตาตก
พุทธทาสภิกขุ..

…………คนโง่ย่อมจะเห็นบาปเป็นน้ำผึ้ง
ตราบเท่าที่บาปนั้นยังไม่ให้ผล…………
หน้านอก-บอกความงาม
หน้าใน-บอกความดี
หน้าที่-บอกความสามารถ
"  วัดต้องสะอาด          ตลาดต้องคึกคัก "